วันพุธที่ 16 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554

บันทึกการเดินทางของฉัน

         จริงๆแล้ว ฉันเป็นคนชอบเที่ยวมาก ฉันก็ไม่เข้าใจว่าทำไมถึงไม่มีใครชวนไปเที่ยวที่ใหนน้า  จำได้ว่ามีพี่คนนึงย้ายมาทำงานด้วยกันที่นี่ แกไม่รู้จักใครเลยฉันก็เป็นคนพาแกไปโน่นนี่ (พาไปแบบหลงทางน่ะ) เพราะฉันเป็นคนจำเส้นทางได้ไม่เก่ง อาจเพราะเหตุนี้แกเลยเปลี่ยนไปกับพี่อีกคนที่เก่งเรื่องเส้นทางมากกว่า หรืออาจเป็นเพราะนิสัยเสียส่วนตัึวของฉันก็เป็นได้(เป็นคนขับรถไม่ได้เรื่องเลย แถมขับแบบบ้าระห่ำ) 

          สรุปแล้วก็คือไม่มีคนเที่ยวด้วย จริงๆ แล้วจะเขียนด้วยความรันทดนะ แต่ผ่านช่วงอารมณ์นั้นมาแล้วและต้องเรียนรู้กับการต้องอยู่คนเดียว เที่ยวคนเดียว(อีกแล้ว) แต่การเดินทางที่ปลอดภัยที่สุดคือการเดินทางที่ผ่านการศึกษาเส้นทางและข้อมูลต่ืางๆ อย่างละเอียดแล้ว ซึ่งจะทำให้การเดินทางท่องเที่ยวคนเดียวมีความสุขที่สุด ทีนี้ฉันจะไม่เศร้าเพราะไม่มีใครอีกแล้ว (เที่ยวคนเดียวก็ได้วะ)  จะได้ไม่มีความรู้สึกว่าโดนทิ้ง  

           ทีนี้เรามาดูรายละเอียดการท่องเที่ยวแต่ละที่ที่ฉันจะไปกันดีกว่า เริ่มจากที่ที่ไม่เคยไปในเชียงใหม่ก่อนนะ แล้วก็ต้องไม่ืลืมออกไปถ่ายรูปวัดตามเส้นทางนั้นด้วย จะไม่สนหน่วยราชการใหนให้เก็บไว้เป็นหลักฐานทางประวัติศาสตร์อีกแล้วเมื่อไม่มีใครใส่ใจจะเก็บ เก็บไว้ดูเองก็ได้ แต่ก็ยังพยายามส่งหนังสือไปให้ส่วนที่เกี่ยวข้อง4แห่งคือ สำนักพุทธฯ เชียงใหม่ ศิลปากรเขต8 เจ้าคณะเชียงใหม่ และ มหาวิทยาลัยมหาจุฬาฯ เชียงใหม่ ขอความร่วมมือจัดตั้งชมรมเพื่อมีสถานที่เก็บสิ่งที่บันทึกมาและให้มีผู้สืบทอดการบันทึกในอนาคต ไม่รู้ว่าผลจะเป็นอย่างไร ระหว่างที่รอผลนี้ก็ไม่เที่ยวสถานที่ที่ไม่ใช่วัดกันก่อน

1.อ.จอมทอง 
2.อ.แม่ริม


อาทิตย์ที่ 27 พ.ย.54
        ด้วยไม่เคยไปเที่ยวน้ำตกในเชียงใหม่ให้ทั่วเลย โปรแกรมวันนี้ก็เลยตั้งใจจะไปถ่ายภาพน้ำตกอย่างเดียวเลย เริ่มจากน้ำตกที่มีปากทางเข้าห่างจากทางขึ้นดอยอินทนนท์แค่กิโลเดียว แต่ที่ใหนได้เข้าไปลึกกว่าสิบห้ากิืโล แถมป้ายทางเข้าก็เล็ก ไม่เหมาะกับน้ำตกที่ใหญ่ที่สุดในเชียงใหม่แห่งนี้เลย(ไปมาหลายแห่งคิดว่าที่นี่ใหญ่สุด)  สรุปแล้วก็คือหลงทางอ่ะ! เมื่อผ่านตลาดไปทางใต้เรื่อยๆ ไม่เจอน้ำตกสักที กลับมาทะลุที่สี่แยกไฟแดงที่เป็นถนนสายใหญ่ ไม่ใช่ซอยเล็กๆ แบบที่เข้ามาตอนแรก มองไปตรงกันข้ามพบว่ามีลานจอดรถใหญ่ๆ มีรถทัวร์กับรถจอดเต็มไปหมด ด้วยความสงสัยอันเป็นนิสัย(ที่ดี..หรือเปล่า) ก็เลยข้ามไปดูซะหน่อยว่าตรงนั้นมีอะไรกันแน่  ก็เลยรู้ว่าตรงนั้นคือพระธาตุจอมทอง เหมือนมีอะไรดลใจให้ไปบนทึกภาพที่นั่้่น พอไปก็เลยรู้ว่าเป็นพระธาตุประจำคนเกิดปีชวด(ถ้าจำไม่ผิดนะ) ข้างหน้ามีเจดีย์ทรงพม่าอยู่ คงสร้างช่วงที่ล้านนาตกเป็นเมืองขึ้นของพม่า แต่พระธาตุเป็นทรงล้านนาเหมือนเดิม โชคดีที่พม่าไม่สร้างทับ ภายในวิหารประดับด้วยลายคำงดงามมากเป็นลายคำที่ละเอียดจริงๆ ขนาดโครงสร้างหลังคาก็ยังเป็นไม้ การเข้าไม้เป็นแบบโบราณทั้งหมดคือใช้ไม้ตอกแทนตะปู ส่วนที่เพิ่มใหม่น่าจะเป็นลายคำบนโครงสร้างไม้ซึ่งละเอียดและงดงามมาก เพราะประดับอยู่ทุกส่วนของโครงสร้าง น่าจะสร้างหรือบูรณะขึ้นใหม่ เพราะสภาพยังดีอยู่มาก นี่คงจะเป็นเหตุผลให้อะไรดลใจให้ฉันหลงทางมาบันทึกภาพที่นี่ในช่วงที่สวยงามและทุกอย่างสมบูรณ์ที่สุด  ข้างหลังเป็นสำนักปฏิบัติธรรม ส่วนพิพิธภัณฑ์กำลังสร้างยังไม่เสร็จ เจ้าอาวาสบรรยายธรรมะตลอดเวลา ทำให้ได้รับธรรมะไปด้วย ซึ่งเป็นตัวอย่างที่ดีของวัดที่เป็นสถานที่ท่องเที่ยวเพราะนอกจากคนมาเที่ยวจะได้ทำบุญ ได้เที่ยวชมสถานที่แล้ว ยังได้รับพระธรรมจรรโลงใจพร้อมกันไปด้วย
              หลังจากนั้นก็กลับมาหาทางเข้าน้ำตกจนเจอ ปรากฎว่ามีป้ายขนาดใหญ่ติดให้เห็นซึ่งก็จะเห็นได้ชัดเจนถ้าคุณเิดินทางมาจากทางใต้! ก็เลยเข้าทางแคบๆ นั้นไปเรื่อยๆ ทางเข้าเต็มไปโค้้ง ถึงจะเป็นถนนลาดยาง บางจุดก็ชำรุด พอเข้าไปถึงลานจอดรถก็เจอน้ำตกเด่นเป็นสง่าอยู่ท่ามกลางภูเขาสีเขียวเข้ม สวยจริงๆ ทั้งยังมองเห็นได้ในระยะใกล จากลานจอดรถ(มีร้านอาหารขายอยู่เต็มก็เลยให้เขาถ่ายรูปให้) เดินเข้าไปน้ำตกประมาณ 10 นาที(แล้วแต่ใครเดินเร็วเดินช้านะคะ) อยากจะพูดว่าน้ำตกนี้เป็นน้ำตกที่สะอาดที่สุดเพราะไม่มีขยะสักชิ้นเดียว(หรือโชคดีที่ไม่เจอก็ไม่รู้) ทั้งที่มีคนเข้าไปปิี๊กนิกกันเยอะแต่ก็ไม่เจอขยะอาจเพราะที่นี่มีระบบการจัดการที่ดีเยี่ยม ทางถึงแม้ต้องเดินขึ้นไปก็ก้อนหินฝังอยู่ในถนนทำให้ไม่ลื่น มีบ้านพักเจ้าหน้าที่เพียงหนึ่งหลัง (ไม่ได้มีหลายหลังดูคล้ายบ้านพักตากอากาศแบบที่อื่น) มีห่วงชูชีพให้ด้วย มีถังขยะแยกประเภททุกๆ 200 เมตร แถมปรับคนทิ้งขยะตั้งพันบาท(ทำเป็นป้ายใหญ่โตระหว่างทางผ่าน) แยกโชนขายของกับน้ำตกห่างกันทำให้ไม่สร้างความวุ่นวายคนจะมาเที่ยวธรรมชาติก็ได้เจอธรรมชาติจริงๆ ถึงแม้นักท่องเที่ยวจะเยอะไปหน่อยแต่ก็ยังมีระบบจัดการที่ค่อนข้างดี ด้วยเหตุนี้ขอชมเชยเจ้าหน้าที่และระบบการจัดการของที่นี่จริงๆ อยากบอกว่าคุณทำได้ดีกว่าหลายแห่งที่คิดแต่จะเอาเปรียบประชาชน ทำให้น้ำตกเป็นธุรกิจจนดูไม่เป็นธรรมชาติแถมถ้าเราจ่ายเงินค่าเข้าดอยอินทนนท์แล้วก็ไม่ต้องจ่ายเงินค่าเข้าน้ำตกตรงนี้่อีก ถึงแม้จะอยู่ค่อนข้างใกลจากน้ำตกอื่นก็ถือว่ามีขนาดใหญ่และสวยงามมากที่สุด เสร็จจากน้ำตกแม่ยะ ก็เดินทางขึ้นไปเพื่อดูน้ำตกอื่นที่อยู่เส้นทางนี้ ปรากฎว่าเจอทางแยกไปน้ำตกแม่กลางก็เลยไปก่อน ก็เป็นน้ำตกที่สวย(อาจน้อยกว่าแม่ยะ) แต่ก็แยกสัดส่วนโซนที่เป็นจุดจอดรถและร้านอาหารชัดเจน และถ้าใครเคยขึ้นไปดอยอินทนนท์ตรงนี้ก็ไม่ต้องจ่ายเงินค่าบัตรอีก แต่ที่นี่จะเด่นกว่าที่อื่นตรงที่มีแพ และร้านอาหารที่ติดแม่น้ำเลย ซึ่งถ้าเราจะทานอาหารริมน้ำไม่อยากเข้าน้ำตกก็ไม่เสียเงินค่าเข้า ซึ่งทางเข้าน้ำตกจะอยู่แยกขึ้นไปนิดหน่อย เิดินจากด่านเก็บเงินเข้าไปเล็กน้อยก็เห็นน้ำตกแล้ว ให้นักท่องเที่ยวแถวนั้นถ่ายภาพให้เสร็จก็เิดินกลับไปน้ำตกอื่นต่อไป ปรากฎว่าต้องผ่านด่านเก็บเงินใหญ่เข้าไปอีก (ใครจะขึ้นไปยอดดอยอินทนนท์ต้องผ่านเส้นทางนี้) มาครั้งที่แล้วก็ต้องจอดรถ ลงรถ  แล้วก็ย้อนมาจ่ายเงิน เหมือนเดิม ทำไมเขาไม่มีระบบการจัดการที่ดีกว่านี้่ ไม่ต้องให้ลงจากรถให้เสียเวลา มากี่ครั้งก็ไ่ม่ปรับปรุงเสีัยที ทำแบบช่องของทางด่วนก็ได้ เงินที่เก็บเป็นค่าเข้าก็ไม่ใช่น้อยๆ ไม่รู้จักอำนวยความสะดวกให้ประชาชน (70 บาท คน1 คน+รถ 1 คัน ถ้าจะให้ดีต้องไปเที่ยวน้ำตกหลายๆ แห่งนอกจากจะไปยอดดอยอย่างเดียวถึงจะคุ้ม เพราะเราเอาบัตรเดียวกันเป็นบัตรผ่านน้ำตกในเส้นทางนี้ได้ทั้งหมด) ไม่อยากจะคิดเลยถ้าช่วยพีคจริงๆ แล้วคนต้องมาจอดรถออกันเต็มเพื่อจอจ่ายเงินค่าเข้าสภาพจะด้อยพัฒนาขนาดใหน เลิกบ่นแล้วไปเที่ยวต่อจะได้ไม่เสียอารมณ์ ไปเที่ยวน้ำตกวชิราธารเป็นน้ำตกถัดไป น้ำตกจะแยกโซนที่จอดรถและจุดชมน้ำตกเหมือนที่อื่น แต่จุดชมแคบมาก เพราะอยู่ติดกับน้ำตกเลย ละอองน้ำก็ฟุ้งกระจาย ใครจะถ่ายภาพควรเอาฟิลเตอร์ไปด้วย เป็นน้ำตกที่ใหญ่พอๆ กับน้ำตกแม่กลาง แต่ก็ยังสู้น้ำตกแม่ยะไม่ได้ ทางเข้าก็แคบและอันตรายกว่้ามาก ต้องขับรถช้าๆ ถึงระยะทางเข้าจะสั้นกว่าแต่ก็มีสิทธิ์ตกแหวได้ถ้าพลาด ใครใจไม่กล้าก็ให้คนอื่นขับแทน เป็นถนนลาดยางที่พอสำหรับรถคันเดียวแต่ถ้ามีรถสวนต้องหลบดีๆ ขาออกมาแทบแย่เจอรถตู้เต็มทางแล้วข้างขวาเป็นเหว ต้องเบียดลงถนนชิดกับเหวเลยทีเดียว รอดมาได้ทึ่้งกับฝีมือตัวเองเหมือนกัน ขับออกมาตรงไปทางขึ้นดอยพอประมาณทางซ้ายมือฝั่งเดียวกับที่เราขับขึ้นก็จะเห็นป้ายบอกน้ำตกสิริธาร ที่จอดรถเป็นทางลูกรัง ใครเห็นก็ต้องนึกว่าทางเข้าเป็นลูกรังเหมือนกันแน่ๆ ก็คงไม่เข้าไปเพราะกลับรถพัง ปรากฎว่าไม่กลัว(บ้ามากกว่ากลัว) ก็เลยขับเข้าไปจอดคันเดียวในที่จอดรถแห่งนั้น ทางลงทำอย่างดีเป็นปูนกันลื่น เป็นทางลงไปน้ำตกที่ชันเล็กน้อย เข้าไปแค่200เมตรก็เห็นน้ำตกที่สวยมากกกกกกกก ขอย้ำว่าเป็นน้ำตกที่สวยมีสเน่ห์ และดูบริสุทธิ์จริงๆ เพราะเงียบสงบ ไม่มีร้านรวง และผู้คนวุ่นวายเหมือนที่อื่น ทำให้สัมผัสกับบรรยากาศของธรรมชาติได้จริงๆ น้ำตกตั้งตระหง่านอยู่ห่างจากจุดชมสัก 500 เมตร สวยงามจริงๆ และคงจะสูงมากเพราะเห็นหินก้อนใหญ่ๆ ร่วงลงมากองเต็มอยู่ข้างล่างน้ำตก สวยและดูลึกลับเพราะน้ำตกชั้้นบนซ่อนตัวอยู่ิลิบๆ ทำให้ดูแตกต่างจากน้ำตกแห่งอื่น ออกมาปรากฎว่ามีรถตู้บรรทุกฝรั่งและนักท่องเที่ยวกำลังจอดพอดี ก็น่าแปลกที่คนไทยไม่ค่อยชอบความลำบากกับสิ่งที่สวยบริสุทธิ์อย่างนี้ ถัดมาไปน้ำตกแห่งสุดท้ายซึ่งเป็นน้ำตกหฤโหดที่กินเวลาเดินทางมากที่สุด จนต้องจบทริปวันนี้แค่น้ำตกแห่งนี้ น้ำตกที่ว่าคือน้ำตกสิริภูิมิซึ่้งจะมีป้ายบอกทางเข้าตรงขวามือหากเราขับรถขึ้นไป เข้าไปนิดหน่อยจะเจอทางแยกใหญ่ๆ 2 ทางให้เลือก ฉันเลือกที่ป้ายบอกว่าไปน้ำตก เข้าไปปรากฎว่ามีด่านเก็บเงินค่าเข้า 20 บาท ซึ่งเป็นคนละส่วนกันกับค่าเข้าขึ้นดอยอินทนนท์ แต่ก็ไม่เสียดายเพราะเป็นเงินค่าบำรุงให้ชาวบ้าน ซึ่งชาวบ้านแถวนั้นน่ารักและเป็นมิตรมาก เพราะฉันเห็นน้ำตกสิริภูิมิอยู่ท่ามกลางภูเขาใกลลิบๆ ซึ่งเราสามารถมองเห็นได้ในระยะใกลตอนขับรถเข้าไป ฉันเห็นว่าสวยดีและคงถ่ายไม่ได้ถ้าเข้าไปใกล้น้ำตก จึงจอดรถถ่ายภาพ มีเด็กชาวเขา่ 3 คนเปิดประตูรั้วบ้านออกมายิ้มให้ ก็เลยขอถ่ายภาพน้องๆ ปรากฎว่าน้องชอบถ่ายรูปมากก็เลยถ่ายคู่กับน้ำตกซะเลย เลยได้ออกมาเป็นภาพที่สวยมาก จากด่านเก็บเงินจะผ่านสวนเฟิร์นซึ่งรวมพันธุ์เฟิร์นแปลกๆ จัดอย่างสวยงาม ก็เลยเดินเข้าไปอย่างงงๆ เพราะไม่มีป้ายใหนบอกว่าน้ำตกอยู่ตรงไหน ไปอย่างไร เดินมาสักพักมีรูปสัญลักษณ์น้ำตก เขียนว่า 15 ม. ดีใจใหญ่ ก็เลยเดินเข้าไปปรากฎว่าเป็นตีนน้ำตกเตี้ยๆ เดินคอตกกลับออกมาด้วยความผิดหวัง ระหว่างทางเจอทางดินเล็กๆ ขึ้นเขาไปก็เลยเดินตามทางขึ้นไปบรรจบกับทางซีเมนต์ดีๆ เดินไปได้สักพักเจอเด็กผู้หญิงคนหนึ่งก็เลยถามว่าน้ำตกอีกใกลใหม น้องยิ้มแล้วอ้ำอึงแต่ก็บอกทางไป ปรากฎว่าทางดีสิ้นสุดลงแล้วเป็นทางที่เต็มไปด้วยหิืน แต่ก็มีทางเดินชัดเจน ระหว่างทางจะเจอแอ๊ปเปิ้ลป่าหล่นเต็มไปหมด ก็เลยเก็บมาลูกหนึ่งว่าจะไปถามน้องข้างล่างว่ามันคือลูกอะไรก็เลยรู้ว่ามันคือแอ๊ปเปิ้ลป่า ไม่กล้าเก็บลงมาเยอะกลัวโดนด่าแต่น้องบอกว่าเก็บได้ เอามาลองกินที่บ้านรสชาติเปรี้ยวๆ ฝาด ผลสีเขียวลูกเล็กกว่าแอปเปิ้ลทึั่วไปและมีกลิ่นหอม เดินขึ้นไประหว่างทางเจอนักท่องเที่ยวร่วมทาง(ชะตากรรม) เยอะแยะ ขึ้นไปจนถึงน้ำตกปรากฎว่ามีทางแคบมากกก เข้าไปแต่ลูกบ้าก็ทำให้ไปถึงน้ำตกจนได้ แหงนขึ้นไปจึงรู้ว่าน้ำตกใหญ่โตมโหฬารมากคุ้มค่ากับที่เดินทางมาอย่างยากลำบาก ขาออกมาเจอคนกำลังจะเข้าก็เลยบอกทางให้พวกเขา ขับรถออกมาไปสวนเกษตรหลวงอินทนนท์ ซึ่งมีจุดที่พักและกางเต้นท์ให้ ข้างในยังมีต้นเมเปิ้ล ซึ่งหาชมได้ยากในเมืองไทย ภายในขณะนี้กำลังสวยงามด้วยดอกรักเร่หลากสี ปลุกเต็มไปหมด ส่วนข้างบนเป็นสวนกุหลาบและไม้เมืองหนาวอื่น ขณะนี้กำลังลงแปลง บางต้นก็กำลังตูม ช่วงปลายเดือนธันวาคงบานสะพรั่ง ถัดจากนั้นว่าจะไปต่อแต่ไม่ไหวเพราะบ้านอยู่แม่ริมเกือบถึงแม่แตงขับรถกลับ2ชั่วโมง (ออกมาจากตรงนั้น 4.26 ถึงบ้าน 6.36 ขนาดขับเร็วมากแล้วนะยังถึงบ้านมืดเลย) ทริปนี้สอนให้รู้ว่าเมืองไทยเที่ยวคนเดียวได้ ปลอดภัยน่าเที่ยว แต่ต้องเที่ยวอย่างปลอดภัย ไม่แต่งตัวโป๊(แต่งตัวเป็นผู้ชายแบบฉันเลยได้ก็ีดี) ถึงจะไม่้มีเพื่อนคนไหนยอมเที่ยวกับฉัน แต่เที่ยวคนเดียวก็คล่องตัวดี ถ้าไปกับเพื่อนๆ คงเที่ยววันเดียว 5 น้ำตกกับ 1 วัด ไม่ได้แน่ๆ ลองเที่ยวคนเดียวดูสิรับรองสนุกจนลืมเพื่อนเลยทีเดียว
       
น้ำตกแม่ยะ
น้ำตกแม่กลาง
น้ำตกวชิรธาร
น้ำตกสิริธาร
น้ำตกสิริภูมิ
สถานีเกษตรหลวงอินทนนท์



 



ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น