เดือนนี้เป็นปลายฝนต้นหนาว แต่ช่วงนี้เชียงใหม่อากาศค่อนข้างแปรปรวน ทั้งที่จะเข้าหน้าหนาวแล้วแต่ก็ร้อนมากอย่างไม่น่าเชื่อ โชคดีที่ฝนตกลงมา2-3 วันที่แล้ว วันนี้อากาศก็เลยค่อนข้างเย็นและท้องฟ้าแดดก็ไม่จ้าเกินไป ออกจะครึ้มๆ อากาศอย่างนี้ภาษาเหนือเรียกว่า บด แต่ต้องออกสำเนียงเหนือถึงจะตรงกับความหมายของคำนี้ เมื่อวานอากาศเย็นมาก ชาวบ้านในชนบทแถวบ้านข้าพเจ้าต้องเอาเสื้อกันหนาวออกมาใส่กันแล้ว ภาษาเหนือเรียกเสื้อกันหนาวว่าเสื้ออุ่น
เมื่อวานพวกเราทานข้าวเย็นกันพ่อเล่าให้ฟังว่าสมัยก่อน ปลาในแม่น้ำริมหลังบ้านข้าพเจ้าเยอะและตัวใหญ่กว่าสมัยนี้มาก เพราะว่าไม่มีเครื่องมือจับปลาที่ทันสมัยแบบสมัยนี้ ไม่มีการช็อตหรือจี้ปลา ไม่มีการดำน้ำด้วยหน้ากากแล้วใช้เหล็กแหลมเล็กๆ ผูกกับหนังยางแล้วยิง หรือที่เราเรียกว่ายิงปลาในป่าโข่ริมน้ำ(พงหญ้ารกๆ) ปลาบางชนิดก็เลยสูญพันธุ์ไปหมด ถ้ามีกล้องดีๆ ที่ถ่ายระยะใกล้ๆ ได้วันหลังถ้าไปหะแคว (การกั้นน้ำในลำธารเพื่อจับปลามักทำในหน้าแล้งหรือหน้าร้อน วันหลังจะเอามาลงค่ะ) หรือถ้าแม่ไปส้อน(ช้อนปลาด้วยเครื่องมือชนิดหนึ่งที่เรียกว่าแซะ) จะต้องถ่ายภาพปลาเหล่านี้เก็บไว้แล้วล่ะค่ะ แต่ตอนนี้กำลังเก็บเงินซื้อกล้องที่ว่าอยู่ค่ะ กลับมาที่สมัยก่อนดีกว่า สมัยก่อนพ่อเล่าว่าเขาจะหาปลามักจะอยู่ในพงหญ้าริมน้ำหรือบริเวณที่มีตอไม้กิ่งไม้ทับถมกัน ส่วนใหญ่จะเป็นต้นไผ่เพราะชอบขึ้นริมน้ำ ไผ่ที่มีแถวบ้านข้าพเจ้ามีหลายชนิดไม่ใช่สักแต่เรียกว่าไม้ไผ่แบบภาคกลางหรือแบบที่ฝรั่งเรียกว่าbambooเหมือนกันหมด วันหลังจะเอาภาพไผ่ชนิดต่างๆที่ชาวเหนือเรียกมาลงนะคะ ปลาจะไปอยู่ใต้น้ำในพงหญ้าหรือบริเวณที่มีกิ่งไม้ทับถมส่วนใหญ่จะเป็นปลาตัวใหญ่ๆ อยู่กันเป็นฝูงๆ ชาวบ้านผู้ชายจะพุ่งเครื่องมือชนิดหนึ่งทำด้วยไม้ไผ่เล็กๆ ยาวสองวา ปลายแหลมที่เป็นเหล็กเชื่อมกับไม้ด้วยครั่ง สมัยข้าพเจ้าเล็กๆ เหมือนจะเีคยเห็นเจ้าเครื่องมือชนิดนี้แต่ก็ลางเลือนไปมากเพราะเด็กหกขวบคงจำอะไรได้ไม่ชัดเจนแถมข้าพเจ้าก็เป็นคนขี้ลืมซะด้วย เวลาไปปุ้ง(พุ่งปลา) ก็มักจะไปเป็นหมู่(กลุ่มเพื่อน) แล้วพุ่งไม้เข้าไปในพงหญ้าโดยที่ไม่เห็นตัวปลานั่นแหละ ต้องพุ่งๆๆๆๆๆกันเป็นสิบๆ ร้อยๆ พันๆ ครั้งเลย พุ่งพร้อมๆกัน ปลาตกใจ ก็จะว่ายไปโดน (คิดดูแล้วกันว่าสมัยก่อนปลาเยอะขนาดใหน ขนาดพุ่งเข้าไปแบบไม่เห็นตัวยังโดนเลย) สมัยก่อนเขาหาปลาเพื่อกินเลี้ยงปากเลี้ยงท้อง ไม่ใช่หาไว้ขายแบบสมัยนี้ สัตว์น้ำก็เลยไม่สูญพันธ์ พูดแล้วก็เสียดาย สมัยตอนเด็กๆ ข้าพเจ้าจำได้ว่าแม่้น้ำริม มีหอยอยู่2ชนิดเป็นจำนวนมาก ข้าพเจ้าจะเอาถังเล็กๆ ไปเก็บหอยให้แม่ตัดปลายทิ้งแล้วเอาไปแกง หอยชนิดนั้นมีขนาดยาวประมาณ1นิ้วมือ ข้าพเจ้าไม่เคยเห็นที่ใหน ตอนนี้ก็เลยไม่รู้จะถ่ายภาพที่ใหนให้ดูแล้ว ส่วนหอยอีกชนิดหน้าตาคล้ายหอยนางรมแต่มีขนาดเล็กกว่าเท่าตัวและผิวเรียบกว่า ตอนนี้ก้ไม่มีแล้วเช่นกัน แต่ยังเคยเห็นที่ใหนสักแห่งนานมาแล้ว เห็นว่าวางขายในกาดมั่ว(ตลาดสดของชาวเหนือ) แต่ไม่เห็นนานแล้ว น่าเสียดายที่ตอนนั้นไม่ได้ถ่ายรูปไว้
เมื่อวานพวกเราทานข้าวเย็นกันพ่อเล่าให้ฟังว่าสมัยก่อน ปลาในแม่น้ำริมหลังบ้านข้าพเจ้าเยอะและตัวใหญ่กว่าสมัยนี้มาก เพราะว่าไม่มีเครื่องมือจับปลาที่ทันสมัยแบบสมัยนี้ ไม่มีการช็อตหรือจี้ปลา ไม่มีการดำน้ำด้วยหน้ากากแล้วใช้เหล็กแหลมเล็กๆ ผูกกับหนังยางแล้วยิง หรือที่เราเรียกว่ายิงปลาในป่าโข่ริมน้ำ(พงหญ้ารกๆ) ปลาบางชนิดก็เลยสูญพันธุ์ไปหมด ถ้ามีกล้องดีๆ ที่ถ่ายระยะใกล้ๆ ได้วันหลังถ้าไปหะแคว (การกั้นน้ำในลำธารเพื่อจับปลามักทำในหน้าแล้งหรือหน้าร้อน วันหลังจะเอามาลงค่ะ) หรือถ้าแม่ไปส้อน(ช้อนปลาด้วยเครื่องมือชนิดหนึ่งที่เรียกว่าแซะ) จะต้องถ่ายภาพปลาเหล่านี้เก็บไว้แล้วล่ะค่ะ แต่ตอนนี้กำลังเก็บเงินซื้อกล้องที่ว่าอยู่ค่ะ กลับมาที่สมัยก่อนดีกว่า สมัยก่อนพ่อเล่าว่าเขาจะหาปลามักจะอยู่ในพงหญ้าริมน้ำหรือบริเวณที่มีตอไม้กิ่งไม้ทับถมกัน ส่วนใหญ่จะเป็นต้นไผ่เพราะชอบขึ้นริมน้ำ ไผ่ที่มีแถวบ้านข้าพเจ้ามีหลายชนิดไม่ใช่สักแต่เรียกว่าไม้ไผ่แบบภาคกลางหรือแบบที่ฝรั่งเรียกว่าbambooเหมือนกันหมด วันหลังจะเอาภาพไผ่ชนิดต่างๆที่ชาวเหนือเรียกมาลงนะคะ ปลาจะไปอยู่ใต้น้ำในพงหญ้าหรือบริเวณที่มีกิ่งไม้ทับถมส่วนใหญ่จะเป็นปลาตัวใหญ่ๆ อยู่กันเป็นฝูงๆ ชาวบ้านผู้ชายจะพุ่งเครื่องมือชนิดหนึ่งทำด้วยไม้ไผ่เล็กๆ ยาวสองวา ปลายแหลมที่เป็นเหล็กเชื่อมกับไม้ด้วยครั่ง สมัยข้าพเจ้าเล็กๆ เหมือนจะเีคยเห็นเจ้าเครื่องมือชนิดนี้แต่ก็ลางเลือนไปมากเพราะเด็กหกขวบคงจำอะไรได้ไม่ชัดเจนแถมข้าพเจ้าก็เป็นคนขี้ลืมซะด้วย เวลาไปปุ้ง(พุ่งปลา) ก็มักจะไปเป็นหมู่(กลุ่มเพื่อน) แล้วพุ่งไม้เข้าไปในพงหญ้าโดยที่ไม่เห็นตัวปลานั่นแหละ ต้องพุ่งๆๆๆๆๆกันเป็นสิบๆ ร้อยๆ พันๆ ครั้งเลย พุ่งพร้อมๆกัน ปลาตกใจ ก็จะว่ายไปโดน (คิดดูแล้วกันว่าสมัยก่อนปลาเยอะขนาดใหน ขนาดพุ่งเข้าไปแบบไม่เห็นตัวยังโดนเลย) สมัยก่อนเขาหาปลาเพื่อกินเลี้ยงปากเลี้ยงท้อง ไม่ใช่หาไว้ขายแบบสมัยนี้ สัตว์น้ำก็เลยไม่สูญพันธ์ พูดแล้วก็เสียดาย สมัยตอนเด็กๆ ข้าพเจ้าจำได้ว่าแม่้น้ำริม มีหอยอยู่2ชนิดเป็นจำนวนมาก ข้าพเจ้าจะเอาถังเล็กๆ ไปเก็บหอยให้แม่ตัดปลายทิ้งแล้วเอาไปแกง หอยชนิดนั้นมีขนาดยาวประมาณ1นิ้วมือ ข้าพเจ้าไม่เคยเห็นที่ใหน ตอนนี้ก็เลยไม่รู้จะถ่ายภาพที่ใหนให้ดูแล้ว ส่วนหอยอีกชนิดหน้าตาคล้ายหอยนางรมแต่มีขนาดเล็กกว่าเท่าตัวและผิวเรียบกว่า ตอนนี้ก้ไม่มีแล้วเช่นกัน แต่ยังเคยเห็นที่ใหนสักแห่งนานมาแล้ว เห็นว่าวางขายในกาดมั่ว(ตลาดสดของชาวเหนือ) แต่ไม่เห็นนานแล้ว น่าเสียดายที่ตอนนั้นไม่ได้ถ่ายรูปไว้
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น