จริงๆแล้วเรื่องนี้ได้เขียนไว้แล้วตอนแปลเพลงของจรัล มโนเพชร ชื่อเพลง "แอ่วสาว" แต่อยากอธิบายเพิ่มเติมเพราะบทความนั้นยังอธิบายการแอ่วสาวไม่ละเอียดนัก แอ่วสาวภาษาเหนือดั้งเดิมหมายถึงการจีบสาวหรือการไปเที่ยวบ้านสาว ส่วนคำแสลงภาษาเหนือปัจจุบันจะแปลว่าไปซ่องเพื่อนอนกับสาว การแอ่วสาวไม่ใช่เป็นการจีบแบบปัจจุบัน คนเหนือสมัยก่อนมักจะไปจีบสาวเป็นกลุ่ม เดินทางผ่านถนนลูกรัง(สมัยก่อนไม่มีถนนลาดยาง) พร้อมกับกล่าวจ๊อยรือค่าวเพื่อความบันเทิง(หาอ่านได้ในเว็บนี้เรื่องดนตรีฯ) สมัยก่อนการจีบสาวของชาวเหนือมักจะอยู่ในสายตาของผู้ใหญ่ ไม่มีการนัดพบกันแบบปัจจุบัน เพราะฝ่ายชายมักจะยกโขยงกันไปบ้านผู้หญิงแล้วนั่งผิงไฟและคุยกันระหว่างที่ผู้หญิงกำลังนั่งแยกเมล็ดถั่ว แกะกระเทียมฯลฯ เพื่อใช้สำหรับการเพาะปลูก สมัยก่อนไม่มีการซื้อเมล็ดพันธ์แบบปัจจุบัน แต่ชาวนาจะใช้วิธีแขวนพืชผลไว้ในบ้านให้แห้งแล้วจึงนำมาเพาะปลูกในปีถัดไป แม่เล่าให้ฟังว่าใช้วิธีติดต่อกันทางจดหมายดังนั้นก่อนกลับจึงมักจะฝากจดหมายรักให้ฝ่ายหญิงและถ้าฝ่ายหญิงมีใจก็จะเขียนจดหมายตอบกลับ love story ของแม่ค่อนข้างแปลกแต่ทำให้เห็นภาพของสมัยก่อนได้ดี แม่เล่าให้ฟังว่าพ่อเคยบวชเรียนมาก่อนจึงเรียกว่าหนานนำหน้าชื่อ เวลาไปจีบสาวจะแต่งตัวเรียบร้อยทันสมัยเอาเสื้อเข้าในกางเกงและใส่รองเท้าขัดมัน(ไปฟังเพลงของบุญศรี รัตนัง ศิลปินชาวเหนืออีกคนที่มีชื่อเสียง ชือเพลงลุงอดผ่อบ่ได้ จะเห็นภาพ) ซึ่งทำให้พ่อแม่ผู้หญิงชอบเพราะไปพร้อมกับของฝากให้พ่อแม่แต่ไม่ค่อยนั่งคุยแกะหอมหรือกระเทียมช่วยแม่แบบผู้ชายคนอื่นๆ ทำให้คู่แข่งหมั่นไส้ เอารองเท้าไปซ่อนหรือให้ไอ้ด่างแทะ ต่อมาจึงใช้วิธีเหนือชั้นกว่าวิธีจีบสาวแบบอื่นคือขึ้นไปชั้นสองห้องของแม่ระหว่างที่แม่นั่งผิงไฟคุยกับคนอื่นๆ แล้วเปิดหน้าต่างตะโกนออกมาทำให้เกิดการผิดผีเนื่องจากมีผู้ชาวเข้าไปในห้องนอนของผู้หญิง ตากับยายเลยให้แม่ตกร่องปล่องชิ้นกับพ่อหนานซะเลย ประกอบกับพ่อหนานมีชื่อเสียงเรื่องเวทย์มนต์คาถาเป็นจอมขมังเวทย์ที่ใครก็ครั่นคร้ามเพราะไปเรียนกับครูบาอาจารย์ที่วัดล่ามช้างตั้งแต่เด็กจนบวชเรียนที่นั่นแต่ชอบถ่ายรูปจึงต้องลาสิกขาออกมาเป็นฆราวาส แต่เพราะพ่อไม่อยากให้ลูกๆเรียนมนต์ดำพวกนี้ฉันและพี่ชายจึงไม่มีใครได้รับสืบทอดสักคน พ่อบอกว่าถ้าไม่เก่งมันจะเข้าตัว เช่น การเสกให้คนหลงรักจนเป็นบ้าหรือเสียสติ(เรื่องนี้ท่าจะจริงเพราะสมัยก่อนมีญาติผู้หญิงคนหนึ่งโดนผู้ชายคนหนึ่งหลงรักแต่ไม่สมหวังแล้วทำของใส่จนสติแตกแก้ผ้าแก้ผ่อนไปเลยก็มี) สมัยก่อนมนต์พวกนี้ขลังมากแต่พ่อบอกว่าพอเขี้ยวหล่อนมนต์จะเสื่อมเพราะฟันร่วงท่องคาถาไม่ตรง) เรื่องความขมังเวทย์ของพ่อนี่น่าจะจริงเพราะจำได้ว่ามีอยู่ปีหนึ่งมีคนปลูกไผ่ตรงข้ามกับฝั่งแม่น้ำบ้านเราเพราะต้องการขยายที่(แต่ไม่คิดว่าจะมากินที่ฝั่งน้ำบ้านเราและทำให้คนที่มีบ้านแถบนี้เสียหาย) พ่อไปทำพิธีอะไรสักอย่างแล้วก็บอกฉันว่าคอยดูเถอะต่อไปที่ดินฝั่งนี้จะไม่มี หลายปีต่อมาที่ดินฝังนั้นก็ถูกน้ำพัดเสียหายลากเอาต้นไผ่ทั้งกอใหญ่ๆออกไปจนหมด จนถึงปัจจุบันนี้มีคนตั้งทำนบก็ยังอุส่าห์มีน้ำพัดเอาไปซัดฝังนั้นเสียหายไปทั้งแถบไม่เชื่อก็เหมือนต้องเชื่อ ที่สวนหนองก๋ายของเราแกก็ของอะไรไว้ไม่รู้แต่แกบอกว่าถ้ามีคนขโมยของจะมีอันเป็นไป อาจไม่ทันทีแต่มีอันเป็นไปแน่นอน แกว่าอย่างนั้น เรื่องนี้จริงเท็จแค่ไหนไม่รู้แต่ฉันคิดว่าคงต้องเขียนเรื่องมนต์คาถาไว้เป็นการเฉพาะ แต่ที่แน่ๆ พ่อจีบแม่ด้วยวิธีการเอาใจพ่อแม่แล้วประกอบกับชื่อเสียง(หรือชื่อเสียก็ไมรู้) เรื่องคาถามนต์ดำทำให้ปู่กับย่ากลัวแม่โดนทำให้เป็นบ้าถ้าไม่ยอมแต่งกับพ่อ love story ของพ่อกับแม่ฉันเอวังด้วยประการฉะนี้แล
สมัยก่อนนอกจากแม่แล้วยังมีเรื่องเล่าการจีบสาวตลกๆที่แม่เล่าให้ฟังจากความทรงจำอันสดใสของแม่ว่ามีชายคนหนึ่งไปแอ่วสาวพร้อมพวกแล้วกลับบ้านตนเองตอนดึกอารมณ์ค้างเพราะร้องรำทำเพลงกับเพื่อนที่ไปแอ่วสาวตลอดทาง จึงเดินกลับบ้านพร้อมกับร้องเพลงที่กำลังฮิตสมัยนั้นของ"ก้าน แก้วสุพรรณ" ชือเพลง "น้ำตาลก้นแก้ว" เนื้อร้องไม่เกี่ยวกับแม่เลยแต่พอเริ่มร้องแม่ท่อนแรก "แม่น้ำตาลก้นแก้ว........" แม่ที่กำลังนอนอยู่ได้ยินจึงตะโกนตอบกลับมาว่า"อย่ากินหมดเหลือให้น้องบ้างลูก" เป็นที่ขบขันของเพื่อนๆ แม่เล่าให้ฟังว่าสมัยก่อนชาวบ้านสมัยนั้นยากจนมาก ไม่มีแม้แต่เงินจะซื้อของกินดีๆ บางคนก็กินข้าวกับน้ำตาลหรือน้ำอ้อย แม่บอกว่าไม่มีขนมหรือของกินเล่นแบบสมัยนี้ เมล็ดข่อยก็กิน เมล็ดก่อมก็กิน ข่อยนี่ยังหาต้นได้แต่ก้อมนี่แม่บอกว่าสูญพันธ์ไปแล้ว